Monday, May 13, 2013

น้ำมันมะกอกใช้รักษาอาการผิวแห้ง

ประโยชน์ต่างๆ ที่ใช้สำหรับภายนอก

 

น้ำมันมะกอกถูกนำมาใช้สำหรับทาร่างกายและผม เพื่อให้เกิดความชุ่มชื่นนุ่มนวลแก่ผิวหนัง อิสลามได้ให้คำแนะนำในประเด็นนี้ไว้เช่นเดียวกับที่ได้แนะนำให้รับประทานมัน ตัวอย่างเช่น


1. ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงรับประทานน้ำมันมะกอกและจงใช้มันทาร่างกาย เพราะแท้จริงมันคือส่วนหนึ่งจากต้นไม้ที่มีความจำเริญ (มุบารอกะฮ์)” (9)



2. คำสั่งเสียของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ที่มีต่ออิมามอะลี (อ.) ความว่า “โอ้ อะลีเอ๋ย เจ้าจงรับประทานน้ำมันมะกอกเถิด และจงใช้มันทาร่างกาย เพื่อชัยฏอน (เชื้อโรค) จะไม่เข้าใกล้เจ้าเป็นเวลาถึง 40 วัน” (10)


สำหรับการใช้ประโยชน์ภายนอก หมายถึงการทาผิวและผมนั้น การใช้น้ำมันมะกอกที่เป็นของเก่านั้นดีกว่าของใหม่ และน้ำมันมะกอกเก่าที่มีอายุ 7 ปี จะให้ผลที่ดีกว่าน้ำมัน ‘บัลซาม’ (Balsam คือยางไม้หอมชนิดหนึ่งที่ใช้บรรเทาอาการปวดและประโยชน์อื่นๆ) ในการบรรเทาอาการเจ็บปวดตามข้อต่างๆ (11)

น้ำมันมะกอกใช้รักษาอาการผิวแห้ง

หากผิวของท่านแห้ง จงตระหนักเสมอว่า อย่าผสมน้ำ (ที่ใช้อาบ) ให้ร้อนมากจนเกินไป และก่อนที่ท่านจะลงแช่ (ในอ่าง) น้ำ จงเทน้ำมันมะกอกลงไปในน้ำประมาณ 1 ช้อนชา และต่อจากนั้นให้ใช้สบู่ที่มีความลื่น (มีฟอง) มากๆ ถูจนทั่วร่างกายและล้างออกด้วยน้ำสะอาด เมื่อร่างกายของท่านสะอาดดีแล้วให้พักอยู่สักระยะหนึ่ง จากนั้นให้ปล่อยน้ำร้อนออกจากอ่างอาบน้ำทิ้งไปครึ่งหนึ่ง และเปิดก็อกน้ำเย็นใส่ลงไปแทนที่จนกระทั่งเต็มอ่างน้ำ ต่อจากนั้นให้ใช้มือคนน้ำในอ่างให้เข้ากันจนกระทั่งน้ำในอ่างเย็นลง หลังจากนั้นให้นอนแช่อยู่ในอ่างน้ำประมาณ 3 นาที จะรู้สึกมีอาการคันยุบยิบตามร่างกายของท่าน (เหมือนมีเข็มแทง) และตัวจะมีสีแดง ท่านจะรู้สึกเมื่อยล้าแต่ท่านจะไม่รู้สึกหนาวเย็น หลังจากการกระทำดังกล่าวแล้วให้ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ซับร่างกายให้แห้งและพันร่างกายไว้ ต่อจากนั้นให้ไปยังที่นอนและจงปล่อยกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของท่านให้อยู่ในสภาพอิสระ จนกระทั่งรู้สึกว่าความทุกข์กังวลและความเครียดที่มีอยู่จริง หรือแม้จะเป็นการจินตนาการก็ตาม ได้หมดไปจากตัวท่าน (12)


เพื่อยับยั้งอาการผมร่วง ให้ใช้น้ำมันมะกอกทาผมติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน โดยก่อนนอนให้พันศีรษะไว้แล้วนอนหลับไป และในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นโดยใช้สบู่มาเซลส์ (Marseilles) … (13)


สำหรับการรักษาโรคผิวหนังหรือเป็นเม็ดพุพอง ให้แช่ใบ Black nightshade (14) ปริมาณ 100 กรัม ลงในน้ำมันมะกอก 200 กรัม เป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วใช้น้ำมันนี้ทาลงบนผิวหนังเหมือนยาทาแผล หากผิวหนังของเท้าหรือมือมีรอยแตก การบำบัดรักษาคือ ให้ผสมกลีเซอรีน (Glycerine) เข้ากับน้ำมันมะกอกในปริมาณเท่าๆ กัน และใช้ทาผิวของเรา


ในเด็กๆ ที่มีกระดูกอ่อนหรือเป็นโรคกระดูกอ่อน (Rachitis) และมีเลือดน้อย ให้ใช้น้ำมันมะกอกทาตามร่างกายของพวกเขา หากใช้น้ำมันมะกอกผสมกับกระเทียมบด จะได้น้ำมันชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณค่ามากสำหรับการรักษาโรครูมาติสซึม อาการปวดกล้ามเนื้อและประสาทต่างๆ และให้ใช้มือทาถูและนวดตรงบริเวณที่มีอาการเจ็บปวด (15) …


อ้างอิง


(1) วะซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม 17 หน้า 63

(2) วะซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม 17 หน้า 65

(3) ซะฟีนะตุล บิฮาร เล่ม 1 หน้า 573

(4) ซับซีฮอ ว่า มีเวฮ์ฮอเย่ ชะฟาบัคช์ หน้า 200

(5) อัชรอร คูรอกีฮอ หน้า 310

(6) มุสตัสร็อก อัล วะซาอิล เล่ม 3 หน้า 108

(7) อัชรอร คูรอกีฮอ หน้า 308

(8) ซับซีฮอ ว่า มีเวฮ์ฮอเย่ ชะฟาบัคช์ หน้า 201

(9) วะซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม 17 หน้า 71

(10) วะซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม 17 หน้า 71

(11) อัชรอร คูรอกีฮอ หน้า 310

(12) กุชัรนอเมฮ์ หน้า 224

(13) สบู่มาเซลส์ (Marseilles) คือสบู่ที่ผลิตในเมือง Marseilles (เมืองท่าของฝรั่งเศสแถบทะเลมิเตอเรเนียน) เป็นสบู่ซักผ้าชนิดหนึ่งที่ชำระล้างไขมันได้ดีมาก

(14) เป็นพืชในตระกูล Solanum nigrum (ผู้แปล)

(15) ซับซีฮอ ว่า มีเวฮ์ฮอเย่ ชะฟาบัคช์ หน้า 120

คัดลอกจากหนังสือ "อิสลามกับการแพทย์ที่ไม่พึ่งยา"

น้ำมันมะกอกที่ใช้รับประทาน

น้ำมันมะกอกที่ใช้รับประทาน

 

หนึ่งในน้ำมันต่างๆ ที่บรรดาผู้นำของอิสลามให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คือน้ำมันมะกอก โดยที่ท่านเหล่านั้นถือว่าการรับประทานมันร่วมกับน้ำส้มสายชูหมักคือ แกงชั้นเลิศ



ท่านอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) กล่าวว่า “น้ำแกงจิ้มขนมปังที่ดีเลิศยิ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) คือน้ำส้มสายชูหมักกับน้ำมันมะกอก และท่านได้กล่าวด้วยว่า มันคืออาหารของบรรดาศาสดา” (1)



ในด้านคุณค่าทางอาหารจากการรับประทานน้ำมันมะกอกร่วมกับน้ำส้มสายชูหมักนั้น ถือว่าน่าสนใจและน่าพิจารณาเป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะอธิบายในภายหลัง



ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า “น้ำส้มสายชูหมักและน้ำมันมะกอกคือ ส่วนหนึ่งจากอาหารของมวลมุสลิม” (2)



ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)  ได้ให้การยอมรับว่าน้ำมันมะกอกคือยาบำบัดรักษาน้ำดี ขจัดเสมหะ บำรุงประสาท ทำให้มีมารยาทงดงาม ลมหายใจสะอาดและคลายความทุกข์กังวลใจ โดยท่านได้แนะนำอย่างมากให้รับประทานมัน



ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงรับประทานน้ำมันมะกอกเถิด เพราะแท้จริงมันจะบำบัดน้ำดี ขับเสมหะ บำรุงประสาท ทำให้มีมารยาทงดงาม ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น และขจัดความทุกข์กังวลใจ” (3)







“น้ำมันมะกอกเปี่ยมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ โดยเฉพาะ โปแตสเซียม นับเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายศตวรรษมาแล้วที่น้ำมันมะกอกกับขนมปัง เป็นแหล่งที่มาของคุณค่าทางอาหารสำหรับมวลมนุษย์” (4 )



“น้ำมันมะกอกมีคุณค่าอย่างมาก สำหรับการผลิตพลังงานเผาผลาญในร่างกาย ในปริมาณ 100 กรัมของมันจะให้พลังงานความร้อน 234 แคลอรี ด้วยเหตุนี้จึงจัดน้ำมันมะกอกเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาจะมีสุขภาพพลานามัยที่ดี จะต้องชอบยาอายุวัฒนะนี้



น้ำมันมะกอกเป็นยาระบายและทำให้สบายตัว ซึ่งมีคุณประโยชน์อย่างสูงต่อการแก้ไขภาวะผิดปกติของไต นิ่วในถุงน้ำดี (Galls tone) อาการจุกเสียดที่รุนแรงต่างๆ ในไต (Renal colic) ในตับ (Hepa tic colic) อีกทั้งช่วยขจัดอาการท้องผูก



การรับประทานน้ำมันมะกอกในปริมาณเล็กน้อยร่วมกับอาหาร จะทำให้เกิดความอยากอาหาร จะช่วยซ่อมแซมการหลั่งของต่อมต่างๆ โดยเฉพาะน้ำดี แต่การรับประทานมากจนเกินไปจะทำให้การหลั่งของต่อมเหล่านี้มีมากเกินความพอดี เป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับและเกิดอาการผอมแห้ง  ด้วยเหตุนี้คนที่อ้วนและเฉื่อยชาจึงได้รับการแนะนำให้รับประทานมัน” (5) ฉะนั้น น้ำมันมะกอกจึงช่วยขจัดนิ่วในถุงน้ำดี และยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีอารมณ์เฉื่อยชา



ในคำรายงานต่างๆ ของอิสลามได้แนะนำให้รับประทานน้ำมันมะกอกร่วมกับน้ำส้มสายชูหมัก เมื่อเราพิจารณาจากหนังสือต่างๆ เกี่ยวกับการแพทย์แผนโบราณเราจะพบว่า บรรดาแพทย์เหล่านั้นกล่าวว่า น้ำมันมะกอกจะทำให้เกิดภาวะผิดปกติของน้ำดี (ทำให้มีอารมณ์ฉุนเฉียว) แต่พวกเขาจะเขียนสิ่งที่จะช่วยปรับปรุงมัน หมายถึงสิ่งที่จะปรับปรุงคุณสมบัติของน้ำมันมะกอก ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดในการปรับปรุงคุณสมบัติของน้ำมันมะกอกนั่นก็คือน้ำส้มสายชูหมัก



ด้วยเหตุนี้  ผู้ที่รับประทานน้ำมันมะกอกร่วมกับน้ำส้มสายชูหมัก อย่างเช่นปัจจุบันที่มักใช้ในการปรุงสลัด พวกเขาก็ไม่ต้องเผชิญกับอาการผอมแห้งหรือการนอนไม่หลับ



ท่านอิมามริฎอ (อ.) กล่าวว่า “น้ำมันมะกอกเป็นอาหารที่ดีเยี่ยม จะทำให้กลิ่นปากหอมสะอาด ขจัดเสมหะ ทำให้ผิวพรรณสดใส บำรุงประสาท ขจัดความเจ็บป่วยและดับอารมณ์ฉุนเฉียว” (6)



การมีกลิ่นปากที่สะอาดและผิวพรรณใบหน้าที่สดใสนั้น เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับ“น้ำมันมะกอกคือมิตรและเป็นยาขจัดพิษที่ดีที่สุดของตับ มันมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและมีภาวการณ์เฉื่อยของตับ การรับประทานน้ำมันมะกอกจะให้ผลที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งในการทำให้ผิวพรรณสดใส” (7)



“การรับประทานน้ำมันมะกอก 1 ช้อนซุบ ในช่วงเวลาเช้าตรู่ก่อนอาหาร คือยาบำบัดรักษาที่ดีเลิศที่สุดสำหรับผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากเรื่องของตับ การรับประทานน้ำมันมะกอกด้วยวิธีดังกล่าว นอกจากจะช่วยยับยั้งมิให้เกิดอาการเจ็บป่วยภายในใดๆ แล้ว ยังช่วยหล่อลื่นทางเดินลำไส้ ช่วยทำให้อาหารที่รวมตัวอยู่ในลำไส้เคลื่อนตัวไปในเส้นทางของมันได้อย่างสะดวก



ในอีกทางหนึ่ง การรับประทานน้ำมันมะกอกก่อนอาหารเช้า จะช่วยกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีที่เฉื่อยชาให้ทำหน้าที่ของมัน ช่วยยับยั้งการก่อตัวและการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคในลำไส้ คนที่ไม่สามารถฝืนใจตัวเองให้รับประทานน้ำมันมะกอก (เปล่าๆ) ก่อนอาหารเช้าได้ เขาสามารถผสมมันกับน้ำมะนาวได้



ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มีอาการดังกล่าวนี้สามารถผสมน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา เข้ากับอาหารทุกมื้อที่เขารับประทาน วิธีการเช่นนี้จะทำให้เกิดความคุ้นเคยกับการรับประทานน้ำมันมะกอก และในที่สุดเขาก็จะสามารถรับประทานมันได้อย่างสบายโดยไม่ต้องฝืนใจ” (8)



ความสัมพันธ์ระหว่างความสมบูรณ์ของร่างกายและสุขภาพจิตนั้น มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมากทีเดียว โดยแต่ละส่วนจะส่งผลกระทบต่อกัน แน่นอนยิ่งเมื่อตับทำงานได้ดี ถุงน้ำดีก็จะทำหน้าที่ได้อย่างปกติ เมื่ออวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายทำงานได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบแล้ว อารมณ์ฉุนเฉียว ความกระวนกระวายใจ และการมีนิสัยใจคอที่หยาบช้าก็จะถูกขจัดออกไป ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เราจะพบได้ 2 ประเด็น จากคำพูดของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และจากท่านอิมามริฎอ (อ.) ที่กล่าวว่า “การรับประทานน้ำมันมะกอก จะทำให้มีมารยาท (อุปนิสัย) ที่งดงาม และจะช่วยดับความฉุนเฉียวของอารมณ์”

ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก

ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก

ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกมีทั้งการช่วยลดอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก ทำหน้าที่เหมือนยาระบายอ่อนๆ ช่วยทำให้ระบบดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินทำงานดีขึ้น และน้ำมันมะกอกยังกระตุ้นการเก็บรักษาแร่ธาตุของกระดูก เพื่อป้องกันการสูญเสียแคลเซียมในกระดูกของผู้สูงอายุได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยให้อาหารมีรสชาติอร่อย ช่วยให้เจริญอาหารได้อีกอย่างหนึ่ง


ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกที่ให้ผลดีต่อสุขภาพนั้นมีหลายประการ สรุปได้ดังนี้
*การหมุนเวียนของโลหิต น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) รวมทั้งภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดใน สมองแตก
*ระบบย่อย น้ำมันมะกอกช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่วอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกช่วย บรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ แผลในกระเพาะ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ
* ผิวหนัง น้ำมันมะกอกช่วยปกป้องหนังกำพร้า ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดจากวิตามินอี และ สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกนั่นเอง นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในการป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
* ระบบต่อมไร้ท่อ น้ำมันมะกอกช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพน้ำมันมะกอกได้กลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกันและ
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจากการศึกษาล่าสุดพบว่าระดับกลูโคสของผู้ที่มีสุขภาพ
ดีจะลดลง12%เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก
* ระบบกระดูก น้ำมันมะกอกช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และช่วยให้ร่างกายของคนเรามีประสิทธิภาพในการดูดซึม แร่ธาตุและแคลเซี่ยมได้ดี และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุน
* โรคมะเร็ง น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก) ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของ ติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมา
* สารกัมมันตภาพรังสี ภายหลังจากที่มีการค้นพบว่าน้ำมันมะกอกช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทานสารกัมมันตภาพรังสีได้ น้ำมันมะกอกได้รับบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสำหรับนักบินอวกาศ
* อาหารเด็กอ่อน ด้วยสารประกอบในน้ำมันมะกอกและคุณสมบัติในการช่วยย่อยอาหาร จึงนับได้ว่าน้ำมันมะกอกเป็น ไขมันธรรมชาติที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำนมมารดามากที่สุด
*ชราภาพการที่เรารู้จักหาวิธีการเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเราเพื่อป้องกันภาวะ
ความเสื่อมถอยของสุขภาพอันเนื่องมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งจากการค้นคว้าวิจัยเรา
ได้ทราบว่าน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการต่อต้านภาวะความเสื่อมถอยของสมองและยังช่วยยืดอายุของเรา
ให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย
* ภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า น้ำมันมะกอกนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง



Credit: http://women.thaiza.com/detail_31663.html
 
การนำน้ำมันมะกอกมาใช้
จะใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารได้อย่างไร
1. นำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำน้ำสลัด หรือน้ำจิ้ม

2. นำมาใช้ในการผัด ชนิดที่ใช้น้ำมันน้อย เช่นผัดผักเร็ว ๆ ผัดกระเพรา มักกะโรนี สปาเก็ตตี หรือ พาสต้า

3. นำมาใช้ในการหมักเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ก่อนที่จะนำไปอบจะทำให้เนื้อนุ่มขึ้น

4. ใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอด จะช่วยให้อาหารไม่อมน้ำมันเนื่องจากน้ำมันมะกอกจะให้ความร้อนสูง ทำให้อาหารสุกทั่วถึงอย่างรวดเร็ว ไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย

ประเภทของน้ำมันมะกอก

ประเภทของน้ำมันมะกอก

สภาน้ำมันมะกอกนานาชาติได้แบ่งชนิดน้ำมันมะกอกตามคุณภาพ จากปริมาณกรดในน้ำมัน และนิยมเรียกชื่อตามความ "บริสุทธิ์" ดังนี้คือ

- ชนิดบริสุทธิ์พิเศษ Extra Virgin Olive Oil มีคุณภาพเยี่ยมที่สุด ประมาณความเป็นกรดต่ำกว่า 1% น้ำมันที่ออกมาบริสุทธิ์จริงๆ รสและกลิ่นมะกอกแรง
- ชนิดบริสุทธิ์ดีมาก Superfine Virgin Olive Oil มีความเป็นกรดต่ำไม่เกิน 1.5%
- ชนิดบริสุทธิ์ดี Fine Olive Oil มีความเป็นกรดต่ำระหว่าง 1.5 ถึง 3 %
- ชนิดบริสุทธิ์ Virgin or Pure Olive Oil ความเป็นกรดไม่เกิน 4% (หากเกินก็กินไม่ได้แต่ใช้เป็นน้ำมันจุดตะเกียงได้) โดยทั่วไปกลิ่นมะกอกจะมีเพียงอ่อนๆ
โดยทั่วไปน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์พิเศษ (extra virgin) มีสีออกเขียวกว่าชนิดคุณภาพต่ำลงมา และถ้าจะให้ดีต้องได้มาด้วยวิธี cold press น้ำมันมะกอกคุณภาพดี ราคาแพงอย่างนี้ ควรเอามาปรุงเป็นน้ำสลัด หรือเครื่องปรุงรสของอาหารอื่น ไม่เหมาะนำมาเป็นน้ำมันสำหรับทอดหรือผัดอาหาร ซึ่งอาจใช้น้ำมันมะกอกเกรดต่ำลงมาได้ อนึ่ง น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษอย่าง cold press อาจเสียรสไปได้หากถูกความร้อนทำให้มีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส
นอกจากค่าของกรดที่เป็นตัวกำหนดคุณภาพของน้ำมันมะกอกแล้ว รสชาติและกลิ่นของน้ำมันมะกอกยังแปรไปตามเขตที่ปลูก น้ำมันมะกอกจากที่เดียวกัน ก็อาจมีกลิ่นและรสชาติแตกต่างกันไปได้ ในทางปฏิบัติการซื้อขายน้ำมันมะกอกแบบขายส่งจึงต้องมีการชิมก่อนเหมือนการ ชิมไวน์อย่างไรอย่างนั้น

ส่วนประเทศที่ผลิตน้ำมันมะกอก แต่ละประเทศจะมี Character ของตัวเอง เช่น
a) Greece จะมีความข้นกว่า (Heavy Texture)
b) Spain จะมีกลิ่นและรสชาติที่แรงกว่าประเทศอื่น
c) ฝรั่งเศส (Provencal) จะมีกลิ่นหอมหวาน (Fruity)
d) Italy จะคล้ายกับ Spain จะมีกลิ่นที่เด่นกว่า เหมือนกัน
ต่ทั้งนี้ในฉลากของน้ำมันมะกอก จะมีชื่อของพันธุ์มะกอกที่ใช้ทำน้ำมันอยู่ ให้มองหา Green Provencal หรือ Tuscan Olives เพราะนี่คือมะกอก พันธุ์ดีที่สุด หรือถ้าอ่านไม่เจอ ก็เลือกตามความต้องการจากประเทศผู้ผลิตครับ

นอกเหนือจากน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์แล้ว ในท้องตลาดยังมีน้ำมันมะกอกผสม คือผสมกับน้ำมันพืชอื่นๆ ในทางปฏิบัติมีระเบียบว่าจะต้องมีส่วนผสมน้ำมันมะกอกกลั่น 5-10% จึงจะเรียกชื่อเป็นน้ำมันมะกอกผสมได้
ในทางปฏิบัติ การเลือกซื้อน้ำมันมะกอกก็เลือกตามระดับความบริสุทธิ์ที่กล่าวไปแล้ว ทางที่ดีควรเลือกแบบ cold press เรื่องรสชาติอาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อและแหล่งผลิต ก็ต้องลองซื้อมากินดูจนได้ที่ถูกใจ ข้อคำนึงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือราคา เนื่องจากน้ำมันมะกอก extra virgin ราคาค่อนข้างสูง จึงควรเลือกใช้เฉพาะทำน้ำสลัดหรือปรุงรสอาหารเท่านั้น ยิ่งสำหรับผู้ที่เริ่มลองใช้น้ำมันมะกอกใหม่ ยังไม่ชินกับกลิ่นน้ำมันมะกอกแรงๆ ก็น่าจะลองใช้ชนิดที่คุณภาพต่ำลงมา เพราะนอกจากกลิ่นมะกอกอ่อนลงแล้ว สนนราคายังถูกอีกด้วย โดยเฉพาะถ้าทำอาหารทอด หรืออาหารผัด ก็จะเหมาะพอดีกัน
น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันทำอาหารที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพ แต่รสนิยมอาหารเป็นเรื่องวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น เฉพาะสังคม การรับของดีจากวัฒนธรรมอื่นจึงต้องผ่านการเลือกและประยุกต์ใช้โดยคนใน วัฒนธรรมนั้นๆ ความรู้เกี่ยวกับน้ำมันมะกอก จึงเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการพิจารณาประยุกต์ใช้ ตามความเหมาะสมของวิถีครัวไทยและเงื่อนไขของแต่ละคน



Credit: http://qwer.dek-d.com/contentimg/general/77_17.jpg

น้ำมันมะกอก (Olive Oil)

น้ำมันมะกอก (Olive Oil)

Credit: http://www.zazana.com/picupload/images/81643images.jpg
 
แม้อาหารทางบ้านเราจะไม่นิยมใช้ "น้ำมันมะกอก" ในการประกอบอาหารมากนัก แต่รู้ไหมว่าน้ำมันมะกอกนั้นถือเป็นน้ำมันพืชที่ปลอดภัยต่อร่างกายและให้ประโยชน์มากมายทีเดียว

>> แต่ก่อนที่จะทราบว่าประโยชน์ของน้ำมันมะกอกมีอะไรบ้างนั้น ผมว่าเรามาทำความรู้จักกับน้ำมันมะกอกกันซักเล็กน้อยก่อนดีกว่าครับ

พูดถึงมะกอกแล้ว คนไทยในบ้านเราก็มักจะนึกไปถึงผลมะกอกที่เอาไปใส่ในส้มตำ หรือไม่ก็ที่ไปจิ้มกินกับเกลือเป็นของกินเล่น น้อยคนที่จะนึกถึงมะกอกของฝรั่งที่มีชื่อว่าโอลีฟ (olive) มะกอกชนิดนี้จัดเป็นพืชโบราณที่มีต้นกำเนิดและประวัติความเป็นมาที่แสนยาว นาน มะกอกกำเนิดขึ้นที่เกาะครีตเมื่อประมาณ 6,000 พันปีมาแล้ว มีหลักฐานและตำนานมากมายที่กล่าวถึงมะกอกเอาไว้ อย่างเช่นค้นพบพวงมาลัยที่ทำจากกิ่งมะกอกซึ่งวางอยู่บนตัวมัมมี่ระหว่างเทพี อะเธน่า (Athena) และโปสิดอน (Poseidon) เทพเจ้าแห่งท้องทะเล โปสิดอนต่อสู้ด้วยอาวุธที่แข็งแกร่งว่องไว ในขณะที่เทพีอะเธน่าสร้างต้นมะกอกมาเพื่อเป็นตัวแทนของความสว่างไสวในยามค่ำ คืน หรือในตำนานทายาทของพระเจ้าผู้สร้างกรุงโรม ก็ได้เห็นแสงสว่างครั้งแรกที่ใต้ต้นมะกอก
มะกอกเป็นต้นไม้ที่ทนทาน อายุยืนมากเป็นหลายร้อยปี ต้นมะกอกจึงเป็นเสมือนต้นไม้แห่งอมตะชีวิต เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ ความดีงาม ความเจริญ ฯลฯ ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวเมดิเตอร์เรเนียนมาแต่โบราณกาล
ในศตวรรษที่ 15 ชาวสเปนได้นำมะกอกเข้ามาสู่โลกยุคใหม่ แพร่กระจายไปทั่วยุโรปตอนใต้ และตลอดแนวของชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมการเพาะปลูกมะกอกได้ขยายตัวขึ้นถึง 30-40 เท่า
มะกอกหรือโอลีฟมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Olea europaea เป็นพืชในวงศ์ Oleaceae จัดเป็นผลไม้ที่มีเม็ดในแข็ง หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด เป็นพืชที่ทนได้ทุกสภาวะอากาศ ดอกมะกอกจะออกช่อในช่วงปลายฤดูหนาว มีดอกเล็กๆสีขาว ผลจะโตเต็มที่ประมาณ 7-8 เดือนหลังออกดอก ลำต้นจะสูงใหญ่กว่ามะกอกไทยบ้านเรามาก สูงตั้งแต่ 3 เมตร จนถึง 18 เมตร ใบเรียวยาวสีเขียวเข้ม มีหลายร้อยพันธุ์ ตัวผลจะมีรสขมและฝาด มีปริมาณสูง พอแก่จัดสีจะเปลี่ยนจากเขียวจนเป็นสีคล้ำจนเกือบดำ ถ้าจะนำไปสกัดเอาน้ำมันต้องเลือกผลแก่จัด แต่ถ้าจะนำมาบริโภคสดหรือนำไปประกอบอาหารต้องใช้มะกอกอ่อน
การนำมะกอกมากินสดนั้น มีข้อจำกัดอยู่ว่า ต้องนำมะกอกมากำจัดสารขมที่มีชื่อว่า Oleuropein ออกเสียก่อน มีทั้งนำไปแช่โซดาไฟ (Sodium hydroxide) หรือจะใช้วิธีธรรมชาติที่ง่ายที่สุดก็คือ แช่ในน้ำเกลือเข้มข้นทิ้งไว้ 1-2 วัน แล้วจึงล้างน้ำออก เพียงเท่านี้ก็สามารถกินผลสดของมันได้อย่างเอร็ดอร่อย ผลของมันนอกจากจะนิยมบริโภคสดๆแล้ว ยังนำมาดัดแปลงโดยการสอดไส้พริกพีเมียนโต หรือพริกหยวกลงไปดองกับน้ำเกลืออีกด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติไปอีกแบบหนึ่ง รสชาติจะออกเค็ม เผ็ดแบบปะแล่มๆ มะกอกแบบนี้พบวางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ผู้ผลิตจะนำเอามะกอกเขียวที่ยังไม่แก่จัดมาเข้าเครื่องดึงเมล็ดออก แล้วก็ยัดพริกที่ปอกเปลือกแล้วลงไป พริกที่ใช้ส่วนมากเป็นทางแถบเมืองหนาว ซึ่งไม่เผ็ดมาก ที่นิยมก็คือพริกพีเมียนโต และพริกหยวกสีแดง จากนั้นก็นำไปบรรจุขวดดองน้ำเกลือ ผลสดซึ่งผ่านการแปรรูปเหล่านี้นิยมนำมากินกับสลัด ตกแต่งจานอาหาร ใช้เป็นส่วนผสมของอาหารโดยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงไปเพื่อเพิ่มความหอมและรส ให้อาหาร เช่น หั่นแว่นตามขวางวางบนคานาเป้ หรือแซนด์วิชเปิดหน้า หรือไม่ก็กินเล่นตามชอบ
มะกอกจัดเป็นผลไม้ที่มีน้ำมันมากที่สุด ในผลมะกอกที่แก่จัด 100 กรัม ให้น้ำมันถึง 20-30 กรัม แต่กระบวนการหีบเอาน้ำมันจากผลมะกอกมิใช่เป็นเรื่องง่ายๆ ต้องผ่านหลายขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน เริ่มตั้งแต่การคัดและเก็บผลด้วยคนงาน เครื่องจักรทำแทนไม่ได้เลย เพราะผลมะกอกแก่ไม่พร้อมกัน อีกทั้งต้องระมัดระวังมิให้ผลเกิดเสียหายในตอนเก็บและขนส่งไปโรงงาน
การคั้นน้ำมันมะกอกที่ดีเป็นวิธีการหีบเย็น (cold press) แบบโบราณ เริ่มด้วยการโม่ผลมะกอกให้เนื้อแหลก แล้วเอาไปเข้าเครื่องหีบน้ำมันออกโดยไม่ใช้ความร้อนเข้าช่วยเลย น้ำมันที่ไหลออกมาจากการหีบครั้งแรกถือเป็นน้ำมันคุณภาพดีที่สุด มีความบริสุทธิ์เพราะเป็นน้ำมันแรก การหีบครั้งต่อๆไปต้องใช้แรงมากขึ้น น้ำมันที่ได้มีคุณภาพด้อยลง ทั้งหมดนี้ใช้เครื่องมือทำจากหินและแรงคนเป็นหลัก
ปัจจุบันมีโรงงานกลั่นน้ำมันมะกอกสมัยใหม่ที่ใช้ความร้อนและเครื่องจักรใน การโม่และกลั่นน้ำมันมะกอก แต่น้ำมันมะกอกแบบนี้มีคุณภาพไม่ดีเท่าแบบวิธีหีบเย็นแบบเก่า หลังจากหีบเอาน้ำมันมะกอกได้แล้ว ก็ต้องเอามาเก็บไว้ในห้องใต้ดินที่มีอุณหภูมิเย็นพอเหมาะเป็นเวลาหลาย สัปดาห์ เพื่อให้เศษผงต่างๆจมตัว จากนั้นจึงนำมากรองและบรรจุขวดขาย


Credit: http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/476/2476/images/apr50/oliveoil.gif

กลุ่มยากัน หรือ แก้เลือดออกตามไรฟัน มะกอก

กลุ่มยากัน หรือ แก้เลือดออกตามไรฟัน

มะกอก


 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Spondias cytherea  Sonn.

ชื่อสามัญ :  Jew's plum, Otatheite apple

วงศ์ :  Anacardiaceae

ชื่ออื่น :  มะกอกฝรั่ง มะกอกหวาน (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 7-12 เมตร เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบยาว ใบย่อยรูปไข่ค่อนข้างเรียวแหลม ขอบใบหยักเล็กน้อย ดอก ออกเป็นช่อแบบเพนิเคิล ตามปลายยอด ดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ สีขาว ฐานรองดอกมีสีเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพส ผล รูปไข่หรือรูปกระสวย มียางคล้ายไรไข่ปลา ผลอ่อนมีสีเขียวเข้ม ผลแก่มีสีเขียวอมเหลือง สุกมีสีส้ม เมล็ด กลมรี เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง และมีขนแข็งที่เปลือกหุ้มเมล็ด
ส่วนที่ใช้ :  ผล เปลือก ใบ ยาง เมล็ด

สรรพคุณ :

    เนื้อผลมะกอก - มีรสเปรี้ยวฝาด หวานชุ่มคอ บำบัดโรคธาตุพิการ โดยน้ำดีไม่ปกติ และมีประโยชน์แก้โรคบิดได้ด้วย

    น้ำคั้นใบมะกอก - ใช้หยอดหู แก้ปวดหูดี

    ผลมะกอกสุก - รสเปรี้ยว อมหวาน รับประทานทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำได้ดี เช่น ผลมะขามป้อม

    เปลือก - ฝาด เย็นเปรี้ยว ดับพิษกาฬ แก้ร้อนในอย่างแรง แก้ลงท้องปวดมวน แก้สะอึก

    เมล็ดมะกอก - สุมไปให้เป็นถ่าน แช่น้ำ เอาน้ำรับประทานแก้ร้อนใน แก้หอบ แก้สะอึกดีมาก ใช้ผสมยามหานิล

    ใบอ่อน - รับประทานเป็นอาหาร

วิธีใช้ : ใช้ผลรับประทานเป็นผลไม้ และปรุงอาหาร